วันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ไก่




          ไก่ เป็นสัตว์ปีกประเภทนก ต้นตระกูลมาจากสัตว์เลื้อยคลาน ดังปรากฏพบหลักฐานจากซากดึกดำบรรพ์ของนกชนิดแรกในโลก ที่แคว้นบาวาเรีย ประเทศเยอรมัน เมื่อปี ค.ศ. 1861 ซากดังกล่าวมีอายุประมาณ 130 ล้านปี มีลักษณะกึ่งนกกึ่งสัตว์เลื้อยคลาน คือที่ปากมีฟัน มีเล็บยื่นออกมาจากปลายปีกและมีกระดูกหางยาว ซึ่งเป็นลักษณะของสัตว์เลื้อยคลาน ในขณะเดียวกันก็มีขนปกคลุมลำตัวเช่นเดียวกับนก ในปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์เรียกซากนี้ว่า “ อาร์คีออพเทอริกซ์ ”จาก “ อาร์คีออพเทอริกซ์ ” ได้พัฒนาการสืบทอดต่อกันมาจนกระทั่งกลายเป็นนกที่มีขนาดของรูปร่าง สี และอุปนิสัยที่แตกต่างกันออกไปกว่า 9,000 ชนิด สามารถจัดเป็นกลุ่มใหญ่ๆได้ 27 อันดับ และ 1 ใน 27 อันดับ คือ Galliformes ซึ่งเป็นอันดับของ ไก่ป่า ไก่งวง ไก่ต๊อก ไก่ฟ้า ฯลฯ และถ้าแยก ไก่ เหล่านี้ออกเป็นวงศ์ ไก่ป่าและไก่ฟ้าจัดอยู่ในวงศ์ Phasianidae ไก่ต็อกอยู่ในวงศ์ Numididdae และไก่งวงอยู่ในวงศ์ Meleagrididae

นับเป็นเวลาหลายพันปีมาแล้วที่มนุษย์ได้จับ ไก่ป่าเพื่อนำมาเลี้ยงเป็น ไก่บ้าน ในประเทศจีนมีการเลี้ยงไก่กันมาประมาณกว่า 3,000 ปี ไก่ที่เลี้ยง ณ กรุงบาบิโลน ได้ถูกนำไปจากอินเดียเมื่อ 2,500 ปี หลังจากนั้นอีกราว 100 ปี ต่อมาก็ขยายพันธุ์ไปที่ประเทศกรีซ ที่กรุงโรมพบว่ามีการเลี้ยงไก่มาตั้งแต่ก่อนคริสต์ศตวรรษ แต่การเลี้ยงไก่กันอย่างจริงจังนั้นเริ่มมาเมื่อประมาณกว่า 100 ปีนี้เอง และสิ่งที่ช่วยให้การเลี้ยงไก่แพร่หลายในอดีต ก็คือ การชนไก่ ซึ่งเป็นได้ทั้งเกมกีฬาและการพนัน ที่นับว่าเป็นสิ่งจูงใจของนักเลี้ยงไก่ทั่วไป ต่อมามนุษย์มีความต้องการอาหารเพิ่มมากขึ้น เนื้อและไข่ของไก่ซึ่งมีรสชาติอร่อย ให้คุณค่าทางอาหารสูงจึงได้รับความนิยมเป็นอย่างยิ่ง ทำให้มีการพัฒนาสายพันธุ์ไก่เรื่อยมา จนกระทั่งมีการเลี้ยงขยายพันธุ์ไปทั่วโลก

การดูลักษณะไก่ชน












ประเภทของ ไก่ชน

วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

การดูแผลตี


          จุดตาย จุดสลบ หรือแผลครู ซึ่งมีความหมายถึง จุดอ่อน จุดที่เป็นอันตรายสำหรับไก่ชน ในร่างกายไก่ชนจะมีจุดอ่อนอยู่หลายที่ ถ้าโดนคู่ต่อสู้ตีเข้าที่จุดอ่อนเหล่านั้นแล้ว ไก่อาจจะหัก ชัก เสียเส้น เสียศูนย์ทรงตัวไม่อยู่ เป็นอัมพาต หรือตายได้ มือน้ำที่เก่งๆจะเฝ้ามองเวลาที่ไก่ชนกัน จะดูว่าไก่ถูกตีแผลไหน จะได้แก้ไขได้ถูกต้อง แต่ถ้าไก่ถูกตีแผลครูจะสร้างปัญหา สร้างความหนักใจให้กับมือน้ำเป็นอย่างมาก ไก่ถูกตีแผลครูจะแก้ไขช่วยเหลือได้ยาก บางจุดแก้ไขไม่ได้เลย บางจุดแก้ไขได้แต่ถ้าถูกตีย้ำแผลเดิมก็ออกอาการให้เห็นเหมือนเดิมอีก แผลครูที่สำคัญได้แก่ 

1. ตีลูกตา จะทำให้ไก่ตาบอด ไก่จะเจ็บอย่างรุนแรง ชักดิ้น แพ้ไก่ได้ง่าย ไก่จะปวดตา มองไม่เห็นทำให้ลืมเชิง หลงเชิง เป็นเป้านิ่ง โอกาสแพ้สูง และทำให้เสียไก่ ไม่สามารถนำมาเลี้ยงชนได้อีก 
2. ตีบ้องหู (หูดำ) จะทำให้ไก่หูแตก เจ็บปวดอย่างรุนแรง หัก ชัก พยุงตัวไม่อยู่ เสียศูนย์ ไก่อาจจะชักร้องวิ่งหนีได้ แผลนี้ไม่สามารถแก้ไขให้หายได้ โอกาสเสียไก่มีสูง 
3. ตีคอเชือด จะทำให้ไก่กระเดือก หลอดลมขาดหรืแตก ไก่จะคอแข็ง หายใจติดขัด หายใจไม่ทัน อ้าปาก ใบหน้าดำ ร้องจาม เบนหัวหนีได้ง่าย แผลนี้มือน้ำแก้ไขไม่ได้ ถ้าถูกแทงด้วยตอเต็มๆอาจถึงตายได้ 
4. ตีไข่หลัง (ทุบหลัง) จะทำให้ไก่เสียเส้น เส้นเคลื่อน หลังหัก ทรงตัวไม่ได้ เป็นอัมพาต ถ้าโดนตีแผลนี้ถือว่าเสียไก่ง่าย แก้ไขไม่ได้และไม่สามารถนำมาเลี้ยงชนได้อีก 
5. ตีโขนงคิ้ว (ตีวงแดง) จะทำให้ไก่คิ้วหัก คิ้วแตก ไก่จะหักจะชัก บางทีก็ตีหัวเสียขา คือ โดนตีจนออกอาการเป๋ไปเป๋มา แผลโขนงคิ้วมือน้ำพอจะแก้ไขได้ แต่ถ้าถูกตีกระทบเหลี่ยมบ่อยๆ จะทำให้ตาเบลอ มองไม่เห็น ถ้ารักษาไม่ถูกจุด ตาจะบอด และเสียไก่ 
6. ตีตัว (หน้าอกและสวาป) จะทำให้ไก่เจ็บ จุกเสียด อ่อนแรง ถ้าถูกตีตัดตัวมากๆ ตัวจะห่อ ปีกตก กระดูกหน้าอกเดาะ แตกได้ ตีรวบสวาปจะทำให้ซี่โครงหักได้ เจ็บปวดมาก บางตัวตีอัดหน้ากระเพาะ ทำให้กระเพาะแตก เลือดไหลตกใน ไก่จะเสียวตัวขนลุก แผลนี้มือน้ำแก้ไขลำบาก ถ้าโดนตีจะออกอาการทุกครั้ง ทำให้ไก่ถอดใจ เบนหัวหนีได้ง่าย ไก่ถูกตีตัวต้องปล่อยให้เล่นฝุ่น เล่นดิน ถ้าตัวหักจะเสียไก่นำมาเลี้ยงชนอีกไม่ได้ 
7. ตีเหง้าปาก จะทำให้ไก่ปากหัก ปากหลุด จิกตีคู่ต่อสู้ไม่ถนัด ทำให้โอกาสแพ้มีสูง ไก่ถูกตีแผลนี้มือน้ำพอจะแก้ไขได้ โดยเข้าปากใหม่ แต่หลังจากตีแล้วจะต้องพักยาวหลายเดือนกว่าปากใหม่จะขึ้นเต็ม ถ้าปากล่างหัก หรือหลุดใช้เวลานานกว่าปากจะเต็ม 
8. ตีขั่วปีก (หัวดุม) และตีรวบปีก จะทำให้ปีกตก บินไม่ขึ้น ไก่ที่ตีตัดหัวดุมหรือขั่วปีก จะเป็นไก่เชิงเท้าบ่า ส่วนไก่ตีรวบปีกจะเป็นไก่เชิงมุดมัดซะเป็นส่วนมาก ไก่โดนตีแผลนี้แก้ไขยาก ขั่วปีกบวม ปีกหักเสียไก่ใช้เวลารักษานาน และนำมาเลี้ยงชนอีกไม่ได้ 
9. ตีสันคอ และท้ายเสนียด จะทำให้ไก่คอหัก หัวหัก ทรุดคาแข้ง หรืออาจถึงตายได้ แผลนี้เป็นแผลที่ทำให้ไก่แพ้เร็ว นิยมเรียกกันว่า ตีเปิดหมวกบ้าง ตีส่งแขกบ้าง เป็นแผลที่แก้ไขไม่ได้ 
จะเห็นได้ว่าแผลครูเป็นแผลที่อันตรายมากที่สุดสำหรับไก่ชน ดังนั้นไก่ที่เก่งจึงต้องแม่น แผลครู ยิ่งถ้าตัวใดตีได้หลายแผล ก็ถือว่าเก่งมาก ไก่ที่ตีแผลครูได้ ตีแผลครูเป็นถึงเชิงจะไม่ค่อยดีก็ถือว่าเล่นได้ ในขณะเดียวกันไก่ที่ถูกตีแผลครูก็ไม่ควรเลี้ยงเพื่อชนอีกต่อไป เพราะโอกาสเสียไก่มีสูง

การดูการวางแข้ง


ลูกตีทีเด็ด ตีเจ็บปวด หัก ชัก หงิก งอ สะดุ้ง ผวา สะดุดขา(จะล้ม) ปีกบาน หางคลี่ 

1. ตีตอ ตีทุกที เจ็บทุกที มีมากในไก่เหนือ ไก่พม่า ไก่สะตอ ไก่ใต้ ไก่อินโด ไก่ฟิลิปปินส์ เนื่องจากนิยมปล่อยตอตีกัน จึงต้องหาไก่ตีตอจัดๆ ในภาคกลางไม่นิยมปล่อยตอตีกัน หากชนะมาส่วนใหญ่ไก่จะเสีย ชนอีกไม่ได้ แต่นักเลงไก่ทางเหนือ ใต้ นิยมเพราะแพ้ง่ายดี
2. ตีลูกนัยน์ตา ไก่ที่ตีตาเก่งส่วนใหญ่จะเป็นไก่ตีตอ ไก่ตีตอส่วนมากจะตีบริเวณวงแดง(ใบหน้าเนื้อแดง) หน้า โขนง หัว ตา ไก่ตีตอจึงมักเป็นไก่ยืนตีไม่มีเชิง ไก่ภาคกลาง ไก่พม่า ไก่เหนือ ไก่ใต้บางตัวตีจนแพ้ไม่โดนตาสักที ลูกตาตีเจ็บแต่โดนยาก
3. ตีโขนง ถ้าไก่ถูกตีโขนงจะหัก ทรุดซวนเซไก่ยอมแพ้ไว รองลงมาจากตีตา ส่วนใหญ่จะเป็นไก่เชิงยืน ยืนวงนอก เตะกินเปล่า ดีดแข้ง จับหน้าหงอนตี จับโขนงตี ถ้าได้เชิงตีส่วนใหญ่จะเป็นไก่สไตล์เดียว เห็นมากในไก่พม่า ไก่ใต้ ไก่เชิงยืน ถ้าไปเจอไก่เชิง กอด กด ขี่ บด บี้ ขยี้ ล็อก มัด จะลำบาก
4. หน้าหงอน ไก่จับหน้าหงอนตี จะเห็นมากในไก่ยืนภาคกลาง ไก่พม่า ไก่ใต้ มักเป็นไก่ใช้ตอ ถ้าได้เชิงตีคู่ต่อสู้จะอยู่ได้ไม่เกิน 3 อัน ส่วนใหญ่จะแพ้ไก่เชิง กอด กด ขี่ จับ ทับ ทำให้หงายไพ่เสียรูป เสียเหลี่ยมมวยไปเลย
5. ตุ้ม-คาง ไก่ยืนแปะหน้าตีกัน ส่วนใหญ่เป็นไก่ยืน ชอบตุ้ม ชอบคาง ไก่เชิงไม่ค่อยมีให้เห็น นอกจากเป็นลูกแก้ไขสถานการณ์ เช่น วิ่งไปจุ้มคางตีตัว ตีก้านคอ ตีตุ้ม คาง ลำตัว ถ้าเป็นไก่ลำโตก็อยู่ 4-5 อัน ไก่ยืนจุ่มตุ้ม จุ่มคางตี ถึงจะตีเจ็บมีหัวหัก มีชัก หากได้ปะทะกับไก่เชิงตีชอบหน้าหงอน โขนง 90 % ถ้าน้ำหนักใกล้เคียงกันไม่เสียเปรียบน้ำหนัก ไก่ชอบหน้าคอมักจะแพ้ไก่ชอบหน้าหงอนและโขนง สรุปไก่ตีโขนงเหนือกว่าไก่ตีตุ้ม ตีคาง
6. ตีหัว ตีท้ายทอย ลูกตีหัวมีในไก่ยืน ส่วนใหญ่จะยืนเกาะเกี่ยว 2 หน้าในไก่เชิงก็มีชอบตีหัว ตีท้ายทอยเป็นส่วนใหญ่ ในไก่เชิง กอด ขี่ กด จะตีหัวและท้ายทอยได้ดี
7. เท้าบ่า ตีตัว ลูกนี้เจ็บปวด โดนมากๆบ่อยๆไม่ดี จะยุบ จะเหี่ยว แผ่วปลายน้ำได้ง่าย แรงหมดหมดเลยไม่มีก็อกสอง ลูกเท้าบ่าตีตัวมีทั้งในไก่เชิงและไก่ยืน ที่ตีเป็นอาชีพไม่ค่อยเห็น ปัจจุบันในไก่เชิงมีให้เห็นบ่อย ส่วนใหญ่จะเป็นลูกหากิน ลูกแก้สถานการณ์ในกรณีที่จะเพลี้ยงพล้ำคู่ต่อสู้ เป็นลูกจุกจิกเจ๊าะแจ๊ะแก้ไขเฉพาะหน้า ส่วนใหญ่เป็นไก่เชิงตี I.Q เกิน 100 เช่น ระหว่างปะทะกระบวนท่ามวย(ไก่ชน)ไทยในเพลง กอด กด ขี่ ซึ่งกันและกัน เดินหมุนซ้าย-ขวา หากเดินสะดุดเสียจังหวะคอบิดอยู่ในจังหวะเป็นรอง คู่ต่อสู้เข้าหลังเสียเหลี่ยมคอประมาณ 30-40 องศา ก่อนที่จะโดนจับหูนอกหรือท้ายทอยตีจังหวะนั้นมันจะจิกบ่าตีตัวให้คู่ต่อสู้กระเด็นกระดอนออกไป แล้วกลับสวมคอเล่นเชิงต่อ
8. ตีสวาป(ทุบสีข้าง) ไก่โดนตีแล้วจะยุบจะแผ่วระยะยาวดี ดีกว่าไก่ตีตัวเป็นลูกที่ปลอดภัย ถ้าเป็นไก่เชิงมัดจัดๆจะเก่งมาก ไก่เชิงมัดนอกจากเป็นลูกหลบหลีกแก้ไขสถานการณ์ ยังเป็นลูกหากินที่คู่ต่อสู้ไม่มีทางป้องกันตัว ถ้าเข้าล็อกรัดปีกต้องตีได้ ถ้าเป็นไก่ตีตัวลำโตลูกตีสีข้างอันที่ 2 จะออกอาการ ไก่ปีกจะห้อยหมดกำลังบิน แก้ไม่ฟื้น ไก่เข้าปีกเก่งๆยิ่งตีเจ็บด้วยเป็นลูกอันตรายและป้องกันตัวเอง ในกรณีที่เพลี้ยงพล้ำให้คู่ต่อสู้ก็ต้องอาศัยปีกเป็นเกาะกำบัง ใน 1 อันขอตีเพียง 5 ทีแรงๆก็พอ
9. ทุบหลัง ใน 1 อันขอทุบถนัดๆ 3 ทีพอ ไก่เก่งๆเดี๋ยวนี้มักจะมีลูกทุบหลัง คู่ต่อสู้โดนแล้วยุบหมดแรงดื้อๆ ตีก็ไม่แม่นจะสูญเสียไปเลย ลูกทุบหลังเซียนไก่จะกลัวกันมาก ถึงแม้สถานการณ์เป็นรองอยู่หากได้ทุบหลังอันละ 1-2 ทีก็มีสิทธิ์พลิกกลับมาเป็นต่อถึงชนะได้ ไก่บางตัวตีเป็นต่ออยู่ดีๆโดนทุบหลัง 1-2 ที ก็ยอมแพ้เอาดื้อๆ
10. หู รูหู บ้องหู ถือเป็นจุดอ่อนที่สำคัญ เพราะเป็นที่เชื่อมต่อประสาทส่วนต่างๆเป็นจำนวนมาก หากถูกคู่ต่อสู้ตีเข้าบ้องหูบ่อยๆ จะทำให้ยืนทรงตัวไม่ดีเซถลา เดินเหมือนแผ่นดินพลิก ยิ่งถ้าหากว่าถูกตอแทง ยิ่งไปกันใหญ่ โดนแข้งอย่างเดียวก็จะมีชีวิตไม่รอดอยู่แล้ว เมื่อโดนตอแทงบริเวณข้างรูหูจะขัดเดินตะแคง เลี้ยวไม่ได้คอแข็ง หากถูกแทงบริเวณรูหูไม่ตายคาแข้งก็หนีเลย แต่ก็หาไก่ตีรูหูจัดๆยาก ส่วนใหญ่เป็นไก่ตีเหลี่ยม ตีตอ
11. หลอดคอ (คอเชือด) กระเดือกไก่ตรงส่วนที่ใช้เชือดไก่ให้ตายค่อนข้างจะบอบบางเป็นที่อยู่ของหลอดลม หากถูกตีหนักๆ และรุนแรง ไก่จะเจ็บปวดมากถึงขั้นหลอดลมแตก บางตัวร้องกะโต๊กเจ็บแบบลืมตัวบินขึ้นสังเวียน ที่ตายคาสังเวียนก็มีให้เห็นบ่อยๆ เนื่องจากหลอดลมขาดไก่ตีคอ หน้าคอ หลอดคอ ถือว่าเป็นลูกอันตรายอีกอาวุธหนึ่ง แต่ก็เสี่ยงเพราะจะตีหน้าคอก็ต้องก้มลงจุ่มตี เสี่ยงที่จะโดนตีนเมื่อคู่ต่อสู้ชอบหน้าหงอนหรือโขนง ส่วนใหญ่จะเป็นไก่ยืนพิง แปะหน้าตีกัน ประเภทไก่หัวสูงไม่ยอมก้มหัวให้ใคร(ไก่โด่เด่)
12. สามเหลี่ยม เป็นจุดอันตรายอีกจุดหนึ่ง เมื่อไก่โดนแล้วยุบ หมดง่ายๆ ยอมไก่ไม่อยากออกอาวุธเพราะเสียวตัว ยิ่งกว่าถูกตีตัวเสียอีก เป็นข้อต่อระหว่างกระดูกคอและลำตัว จะมีกระเพาะพักอยู่บริเวณด้านหน้า เป็นจุดที่เสี่ยงต่ออันตรายจากการถูกตีมากที่สุด เนื่องจากมีหน้าที่ในการยืดส่วนคอและส่วนหัวทั้งหมดให้ติดกับลำตัว หากไม่อยู่ในตำแหน่งที่ชิดกับลำตัวมากๆ คือคอ ส่วนนี้ห่างเกินไปจะทำให้ฐานคอ ไม่แข็งแรง หากถูกตีบ่อยๆ จะทำให้คอหักในลักษณะฐานคอพับตายได้ง่าย
13. ปากบนและล่าง เป็นอวัยวะสำคัญของไก่ในการต่อสู้ หากปากไก่ไม่แข็งแรง อาจถูกตีปากหัก ปากหลุด ทำให้ไก่ถึงแพ้ได้ง่าย เพราะฉะนั้น จึงควรเลือกไก่ที่มีร่องน้ำลึก โคนปากใหญ่และหนา หากปากหลุดก็แก้ไขด้วยการสวมปากหรือถักปาก หากเป็นปากล่างก็ลำบากหน่อย ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการเย็บติดกับกระดูกปาก
14. โคนคอด้านหลัง (ตรงข้ามสามเหลี่ยม) ไม่ค่อยมีให้เห็นดูเหมือนไก่ตีไม่ถูก โดยเฉพาะไก่ยืนเกาะเกี่ยวตี จะออกอาการในอัน 2 หรือ 3 แล้วจะบินแกว่ง รุ่งขึ้นจะเขียวจากโคนคอยันหลัง เป็นลูกอันตรายอีกอันหนึ่ง

เกล็ดและแข้ง

เกล็ดและแข้ง 

ขาไก่หรือแข้งไก่ลักษณะที่ดีนั้น ปั้นขาต้องใหญ่ แข้งเรียวเล็กกลม แข้งลักษณะนี้จะตีเจ็บ แต่บางท่านจะชอบแข้งใหญ่ ส่วนคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่จะชอบไม่เหมือนกัน คนรุ่นเก่า จะชอบแข้งไก่ที่ค่อนข้างเล็กและแข้งกลม คนรุ่นใหม่จะชอบแข้งที่เป็นเหลี่ยม

ลักษณะของไก่แข้งกลม คือ แข้งกลมหน้าและหลัง ด้านหน้าของหน้าแข้งค่อนข้างโค้งกลม ส่วนด้านข้างทั้งสองของแข้งก็โค้งกลม มีท้องแข้งปูดอิ่มกลมมน จึงทำให้แข้งไก่นั้นกลมเรียกว่า แข้งคัด หรือ แข้งเรียวหวาย
ลักษณะของไก่แข้งเหลี่ยม คือ จะมีเกล็ดหน้าแห้งไม่แถวใดก็แถวหนึ่ง หรืออาจจะทั้ง 2 แถว ทั้งนอกและใน เป็นขอบสันนูนขึ้นและเรียงต่อกันเป็นแถว ตั้งแต่หัวเข่า จนถึงข้อเท้า ถ้าเป็นกับเกล็ดแข้งทั้ง2 แถวและเป็นสันอยู่ด้านข้างเรียกว่า เกล็ดแข้งเปิดเป็นปีก ไก่แข้งเหลี่ยมมักเป็นไก่ที่มีเกล็ดหน้าแข้งหนานูนแข็งแรงดี ท้องแข้งไก่นั้น ควรอิ่มเป็นสันนูน ทั้งนี้เพราะมีกระดูกหน้าแข้งทางด้านหลังงอกออกมาเป็นสันยาวจากเดือยตรงขึ้นไปหาเข่า ตามแนวของเกล็ดนำเดือย

ไก่บางตัวเลี้ยงอยู่ดีๆจะมีแข้งเป็นสีแดงเข้มทั้งแข้ง หรือเฉพาะครึ่งล่างเท่านั้นเรียกว่าเลือดลงแข้ง แสดงว่าระบบหมุนเวียนกลับของเลือดมีปัญหาจะต้องหยุดทำการซ้อม อาการอาจหายไปเอง หรือเป็นๆ หายๆ หรือไม่ยอมหาย จะต้องนำไปปล่อย เมื่อหายแล้วค่อยนำกับมาเลี้ยงใหม่ ส่วนความมันของเกล็ดแข้งนั้น จะมีความแตกต่างกัน ไก่ที่มีเกล็ดแข้งไม่มันเรียกว่า แข้งแห้ง ถ้าเกล็ดแข้งเป็นมัน เรียกว่า แข้งเปียก 

เกล็ดหน้าแข้ง 

ปกติจะมีอยู่2-3แถวการจัดเรียงตัวของเกล็ดหน้าแข้งของไก่จะไม่ค่อยเหมือนกันทุกตัวไปบางตัวจะมีเกล็ดแซม เกล็ดแตก นักเลงไก่รุ่นก่อนๆ จะเรียกเป็นชื่อเฉพาะ เช่น
1. เกล็กสองแถวปัดตลอด คือ การเรียงตัวของเกล็ดอีกแบบหนึ่ง โดยที่เกล็ดแถวนอกและแถวในมาพบกันที่แนวกลางของหน้าแข้ง โดยมันจะไม่สอดประสานกันแต่ จะยกตัวเป็นสันแยกกัน ส่วนตรงกลางหน้าแข้ง จะมองเห็นเป็นร่องเป็นเส้นตรง ลงไปถึงระหว่างโคนของนิ้วกลางและนิ้วนอก
2. เกล็ดสามแถวตลอดแข้ง คือ ไก่ที่มีเกล็ดแข้ง 3 แถว สม่ำเสมอตั้งแต่หัวเข่าลงไปจนถึงนิ้ว 3 โดยเกล็ดแข้งแถวนอกเป็นเกล็ดที่ต่อมาจากเกล็ดนิ้วนอก ส่วนเกล็ดแถวกลางเป็นเกล็ดที่ต่อมาจากนิ้วกลาง เกล็ดแข้งแถวในเป็นเกล็ดที่ต่อมาจากเกล็ดนิ้วใน ถ้าหากมีเกล็ดที่ต่อมาจากเกล็ดนิ้วก้อย สูงขึ้นไปถึงเข่าด้วย จะมองเหมือนกับเป็นเกล็ดแถวที่ 4 เรียกว่า เกล็ดเดิมพัน
3. เกล็ดวันทองห้ามทัพ คือ เกล็กแซมตรงกลางระหว่างเกล็ดหน้าแข้งทั้ง2แถวนับจากใต้เดือยลงมาแล้วไปตกลงช่องระหว่างนิ้วกลางและนิ้วนอกเป็นทั้ง 2 แข้งยิ่งดี
4. เกล็ดหนุมานประสานมือ คือ เกล็ดหน้าแข้งมี2แถวเรียงตัวสอดแทรกสลับกันเกล็ดแข้งทุกๆเกล็ดจะต้องหนาและนูนถ้ามีรอยบุ๋มตรงกลางของเกล็ดแสดงว่าใช้ไม่ได้
5. กำไลใต้เดือย 3 เกล็ด คือ มีเกล็ดกำไลอยู่ใต้เดือย 3 เกล็ด มีทั้ง 2 แข้งยิ่งดี
6. กำไลทั้งแข้งมีเดือย คือ ไก่ที่มีเกล็ดหน้าแข้ง เป็นเกล็ดใหญ่เกล็ดเดียว แต่ต้องมีเดือย ต้องเป็นทั้ง 2 ข้าง ตามปกติแล้วไก่ที่มีกำไลทั้งแข้งมักเป็นไก่เดือยคุด
7. กำไลตรงเดือย 1 เกล็ด ถ้ามีทั้ง 2 แข้งยิ่งดี
8. เกล็ดเสือซ่อนเล็บ คือ เมื่อให้ไก่ยืนเต็มเท้า เกล็ดนิว้กลางเกล็ดแรกจะถูกเกล็ดสุดท้ายของหน้าแข้งบังจนมิด หรือเกล็ดที่ 2 จะถูกเกล็ดแรกบังจนมิด ทำใเหมือนกับว่าเกล็ดหายไป 1 เกล็ด
9. เกล็ดจักรนารายณ์ คือ เกล็ดนิ้วทุกนิ้ว ทั้งข้างซ้ายและขวา แตกและแซมทุกๆนิ้ว รวมทั้งนิ้วก้อยจะดีมาก
10. เกล็ดเม็ดข้าวสารท้องแข้ง เป็น เกล็ดเล็กๆเป็นแถวแทรกอยู่ระหว่างเกล็ดเดิมพันและเกล็ดนำเดือย ไก่บางเหล่ามีเกล็ดเดิมพันต่ำและไม่มีเกล็ดเม็ดข้าวสาร ท้องแข้งแต่เป็นตุ่มคล้ายหนังแข็งๆ สีแดงลักษณะเช่นนี้ไม่ดี แต่ถ้าเป็นเกล็ดเม็ดข้าวสารท้องแข้งเป็นเกล็ดเล็กๆ นูนปูด ลูบดูสากมือ ลักษณะเช่นนี้ดี แข้งคม ไก่บางตัว อาจไม่มีเกล็ดเม็ดข้าวสารท้องแข้ง บางตัวมีแถวเดียว บางตัวมี 2 แถว หรือบางตัวเป็นเกล็ดแข้งละเอียด
11. เกล็ดเดิมพัน คือ เป็นแถวของเกล็ดท้องแข้งที่เรียงเบียดอยู่กับเกล็ดหน้าแข้งแถวใน จะเริ่มต่อจากเกล็ดโคนของนิ้วก้อย พาดอ้อมด้านในของเดือยไปทางด้านหน้า ไปหาเกล็ดแข้งแถวในเรียงเบียดเกล็ดหน้าแข้งแถวในขึ้นไปจนถึงหัวเข่าเกล็ดนี้จะมีแนวยาวไม่เท่ากันบางตัวต่ำกว่าเดือยก็ไม่มีเกล็ดแล้วลักษณะนี้ไม่ดีบางตัวเท่ากับ เดือยบางตัวอาจจะเลยขึ้นไปสูงกว่าเดือยเล็กน้อยลักษณะเช่นนี้พอใช้บางตัวเลยไปถึงหัวเข่าจะดีมากเกล็ดเดิมพันนี้ยิ่งขึ้นสูงยิ่งดีเกล็ดเรียงเบียดติดต่อกันสูงถึงเข่าดีที่สุด
12. เกล็ดตรงเดือย หรือ เกล็ดนำเดือย(เกล็ดอัน) คือ แถวของเกล็ดที่ขึ้นเริ่มจากเดือยไปหาหัวเข่า เกล็ดนี้จะอยู่กึ่งกลางของท้องแข้ง ยิ่งเป็นแถวตรงและขึ้นสูงถึงเข่า ยิ่งดี ห้ามมีเกล็ดแทรก เกล็ดขัดเด็ดขาด ลักษณะของเกล็ดควรจะนูนปูด ห้ามบุ๋ม เป็นทั้ง 2 ข้างเหมือนกันยิ่งดี เป็นเกล็ดมาตรฐานมักชนะ เกล็ดนี้จะเล็กหรือใหญ่ก็ไม่มีปัญหา ไก่บางตัวจะมีเกล็ดเล็กๆอยู่ใต้เดือย 1 เกล็ด เรียกว่าเกล็ดรองเดือย ส่วนไก่ที่มี 4 เดือย หรือเดือยแฝด อาจมีเกล็ดเหนือเดือย หรือเกล็ดรองเดือยยาวขึ้นมาเป็นเหมือนกับเดือยก็ได้
13. ดอกจันทน์หน้าเดือย คือ ไก่ที่มีเกล็ดหน้าแข้งในที่อื่นเป็นเกล็ด 2 แถว แต่ที่หน้าเดือยเป็นเกล็ด 3 แถว เกล็ดใหญ่พอๆกันทั้ง 3 แถว ทำให้มองเห็นเป็นรูป ดอกจันทน์6กลีบใหญ่เท่าๆกัน ถ้ามีทั้ง2ข้างยิ่งดีหรือที่หน้าเดือยมีเกล็ดเล็กๆเรียงตัวอยู่เป็นรูปดอกจันทน์ 6กลีบ หรือ 5กลีบ ถ้ามีทั้ง 2ข้างยิ่งดีลักษณะเช่นนี้ ตีเจ็บ ไก่ชนไม่ว่าลักษณะแข้งจะเป็นอย่างไรก็ตามแต่ ก็ไม่สามารถยืนยันได้เท่าใดนักว่าจะตีเจ็บหรือไม่ เกล็ดเป็นเพียงส่วนประกอบของแข้งไก่เท่านั้น

ลูกตีและความหมาย


ลูกตีและความหมาย


ลูกตีความหมายลูกตีความหมาย
เหยี่ยวถลาลมบินลอยตัวแล้วฟาดแข้งลงขย่มพสุธาขี่ทับ
ขย่มทั้งตัวแล้วตี พับแผ่นฟ้ามัดขั้วปีก แล้วตีรวบตัวฟันแสกหน้าตีคิ้วแตกหรือยุบ
กระยางกินปลาเท้าบ่า ยืดคอไปจิกตีหลังกระสางมหอยลงจิกขา
ควงสว่านกอด ล๊อคคอให้คู่ต่อสู้วิ่งวนกุมภกรรณพุ่งหอกแทงเข้าหน้าอก
หาวเป็นดาวเป็นเดือนตีเข้าคอเชือดจนอ้าปากลักกินขโมยกินลงซุ่มได้ทีแล้วโผล่ขึ้นมาตี
ม้วนธรณีตีปากล่างหัก หรือพับเข้าในปากพับเสื่อมัดปลายปีก แล้วตีรวบเข้าหัว เข้าตัว
แผ่ธรณีตีรวบเท้าเข้าอก ล้มทาบพื้นปีกกางออกกกไข่ตีตัวทรุด ย่อปีกกรอมแต่ยังไม่ล้ม
หักเหลี่ยมอินทรีตีเข้าปากบน ปากหรือดั้งหักตีทัดดอกไม้ตีข้างกกหู
จูงควายเทียมแอกจิกหัวดึงแล้วตีส่งแขกหรือไสกบ ตีหัวพุ่งไปข้างหน้า
แม็คโคตีหัวทิ่มพื้นยกไม่ขึ้นผีพุ่งใต้ตีหักทะลึ่งพรวดพราดบินออกนอกสังเวียน
ขี้หักในตีหัก แสดงอาการแบบเบ่งอึสักกระหม่อมแทงบนหัวท้ายหงอน
จูงนางเข้าห้องจิกหงอนแล้วไล่ตีลมสลาตันตีหักแล้วหมุน
ต่อหางเปียตีหัวจนขนหัวลุกชันคลื่นใต้น้ำจิกใต้อกหรือใต้ปีก
ดับตะเกียงตีตาปิด มืดปากถึงตีนถึงจิกแล้วตีเลย
ถล่มกองบัญชาการตีหัวอย่างเดียวจนหัวบวม หัวแตกขอมดำดินมุดวิ่งหนีหรือซุกหัว
หนูไต่ราวจิกหูในตีกวางเหลียวหลังจิกหูนอกดึงให้หันหน้ากลับแล้วตี
กระหังติดปีกตีหัก กระโดดบินในสังเวียนเจ้าเมืองแผ่อำนาจเตะสาดแข้งเปล่า
ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยตีซ้ำติด ๆ กันตีหัวเข้าบ้านตีแล้วแอบซุก ได้จังหวะจึงขึ้นมาตีใหม่
ประสานแข้งต่างจิกแล้วบินขึ้นตีพร้อมกัน

แม่ไม้เชิงไก่

ชิงชน

1. เชิงสาด ตีคู่ต่อสู้โดยไม่ต้องจิกหรือที่เรียกว่าสาดแข้งเปล่า
2. เชิงเท้าบ่า เอาไหล่ชนกันแล้วยืดคอไปจิกบ่าคู่ต่อสู้แล้วตีเข้าท้องหรือหน้าอก
3. เชิงลง มุดต่ำจิกขาจิกข้าง พอคู่ต่อสู้เผลอโดดขึ้นตี
4. เชิงมัด มุดเข้าปีก โผล่ไปจิกหัว หู หรือสร้อย แล้วตีเข้าหัว คอ หรือตะโพก
5. เชิงบน ใช้คอขี่พาด กด ล๊อค ทับ กอด ให้คู่ต่อสู้หลงตีตัวเอง เมื่อได้ทีจะจิกหู ด้านนอก หูใน หรือสร้อยแล้วตีเข้าท้ายทอย
6. เชิงม้าล่อ หลอกคู่ต่อสู้วิ่งตาม พอได้ทีตีสวนกลับ
7. เชิงตั้ง ยืนตั้งโด่ จิกสูงแล้วบินตี(เชิงนี้เสียเปรียบเชิงอื่น )
8. เชิงลายชักลิ่ม เอาหัวหนุนคอหนุนคางคู่ต่อสู้ ลอกให้อีกฝ่ายกดลงแล้วชักหัวออก พอคู่ต้อสู้พลาดก็จิกหัวตี ไก่เชิงนี้เป็นตัวปราบไก่เชิงบนขี้จุ้ยที่ขี่กอดทับแล้วไม่ตี

ในจำนวน 8 เพลงท่านี้ แบ่งแยกได้อีก 15 กระบวนยุทธ คือ
เชิงเท้าบ่า แยกเป็น เท้าตีตัว เท้าจิกหลังกระปุกน้ำมัน
เชิงหน้าตรง แยกเป็น ตีหน้ากระเพาะ หน้าคอ หน้าหงอน
เชิงมัด แยกเป็น มัดโคนปีก มัดปลายปีก
เชิงลง แยกเป็น มุดลงจิกขาลงซุกซ่อน ลงลอดทะลุหลัง
เชิงบน แยกเป็น ขี่ ทับ กอด ล๊อค มัด
เชิงลายชักลิ่มแยกเป็น ยุบหัว

ลีลาแม่ไม้เชิงไก่

ไก่เชิงจะแบ่งตามเพลงหรือเชิงตีได้หลายลีลา บางตัวก็ตีได้เชิงเดียว บางตัวก็ตีได้หลายเชิง ซึ่งอย่างหลังเป็นสิ่งที่นักเลงไก่ต้องการมากที่สุดเพราะถือว่าครบเครื่อง กระบวนแม่ไม้ของไก่เชิงอย่างกว้างๆ 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ

ไก่เชิงชนสองคอ ลักษณะเป็นไก่ที่เดินเร็วกว่าคู่ต่อสู้ เป็นไก่เชิงบนจัดและยิ่งเป็นตัวที่ฉกาจจะพบว่ามันจะเข้ากอด กด ขี่ บด ขยี้ ล็อก มัด ท้าวบ่า ม้าล่อ ลงจิกขาลอดทะลุหาง ยิ่งมันไปเจอคู่ต่อสู้ยืนพิงแปะหน้า ยืนดินแน่นขาตายหรือช้า จะเสียเหลี่ยมแพ้ภัยตัวเองเพราะเดินไม่ทัน เพราะมันจะถูกไก่เชิงชนสองคอ กด ขี่ เอาอกทับไหล่คู่ต่อสู้อย่างเหนียวแน่น ขาเดินไวแน่นเพื่อเข้าท้ายและหลังคู่ต่อสู้ และหากมันสูงกว่าคู่ต่อสู้ก็ยิ่งเป็นต่อมากขึ้น ข้อเสียเปรียบก็มี คือ หากพบคู่ต่อสู้ที่เชิงเดียวกัน และดันเตี้ยกว่าคู่ต่อสู้ ความพลิกผันก็มีได้ เพราะไม่รู้จักหลบซุกปีกคู่ต่อสู้
ไก่เชิงสองคอสองปีก เป็นไก่เชิงที่มีเทคนิคสูงขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง เป็นการพัฒนามาจากเชิงชนสองคอ แต่ฉลาดขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง มีลีลาจุกจิกแพรวพราวและสามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี เมื่อเกิดเสียท่ามันจะรีบเปลี่ยนแม่ไม้กระบวนท่าเสียใหม่ โดยออกลีลาเชิงล่างมุดล็อกมัดปีก ยิ่งถ้ามันเดินไม่ทันคู่ต่อสู้จะรีบมุดเข้าปีกทำเชิงรัดมัดเพื่อให้คู่ต่อสู้ออ่นล้าเร็วยิ่งขึ้น และมันจะเป็นผู้ชนะในที่สุด
ไก่เชิงสองคอ สองปีก สองขา เป็นไก่เชิงสุดยอดที่บรรดาเซียนชื่นชอบ ซึ่งพัฒนามาจาก 2 ประเภทแรก แต่มีอาวุธหนักคือแข้งและมีแรงที่ดีด ลักษณะของไก่ประเภทนี้เป็นไก่เชิงลงลอดทะรุขา ทำให้คู้ต่อสู้ขาอ่อนและหมดแรง
สำหรับไก่เชิงที่มีลักษณะไก่ขี่ คือต้องเดินเร็วแบบแรมโบ้ไล่บดขยี้ชนิดถึงลูกถึงคน พอจะแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทดังนี้
ไก่ขี่เดินใน หัวตั้งตรงแบบ 90 องศา เดินในเหนียวแน่นเกราะเกี่ยวดี และยังเป็นไก่ที่ปากไวหรือที่เรียกว่า ปากดึง ตีนถึง แต่นั้นหมายถึงเมื่อเจอไก่ยืน แต่ถ้าไปเจอไก่พม่าที่อาศัยการตีแบบสาด ตีเร็ว มีความคล่องตัวสูง หรือไก่ที่เชิงเดียวกันก็จะลำบากในการเกราะเกี่ยว หัวสูงก็จะหลุดง่ายก็มีสิทธิ์แพ้ได้เหมือนกัน ยิ่งไปเจอไก่สองปีกจัดๆ ตีสวาป แรง มีเปอร์เซ็นต์แพ้ได้สูงมากไปอีก
ไก่ขี่หัวลึก โดยหัวจะเฉียงเป็นมุม 45 องศา ลักษณะเข้ากอด โคนคอเหนียวแน่น เชิงชนจะมีภาษีดีกว่าเชิงขี่ใน ไก่ลักษณะนี้จะทำเชิงรูดโคนคอ เอี้ยวมาหาหูนอกหรือหูใน แต่แต่งตัวทำเชิงช้ากว่าจะตีได้ แต่ปลอดภัยเมื่อเจอไก่พม่าที่ฝีตีนจัด แต่ถ้าเจอไก่ประเภทไก่ปีก มุด มัด หรือไก่เดินใน กอดเกี่ยวก็เสี่ยงหน่อย เว้นแต่ว่ามันมีลำหักลำโค่นหนักก็พลิกกลับมาชนะได้
ไก่ขี่ล็อก กดโคนคอและหัว ถือเป็นไก่ขี่ที่เยี่ยมที่สุด ไก่ฝีตีนจัดอย่างไก่พม่าก็อ่อนใจ เพราะจะยุบและถอยไม่หยุดเพราะถูกกดโคนคอ ครั้นไปเจอกับไก่ขี่ด้วยกันก็จะได้เปรียบเชิง แต่ถ้าไปเจอไก่เชิงที่ตีเจ็บก็ต้องวัดว่าใครตีเจ็บมากกว่ากัน ไก่ขี่ดีจะต้องถนัดทั้งซ้ายและขวาพร้อมกับกอดเหนียวแน่น ยิ่งรูปร่างไม่เสียเปรียบก็ยากที่คู่ต่อสู้จะตีหัวได้ในทางตรงข้ามมันพยายามจับตีคู่ต่อสู้จนได้
ไก่ประเภทนี้จะเป็นไก่ฉลาดเดินดี คือ หลายจังหวะ มันจะประคองหัวคู่ต่อสู้ตลอดเวลา เรียกว่า กอดประคอง คู่ต่อสู้เดินช้ามันจะเดินช้าไปด้วย ไก่บางตัวเจอคู่ต่อสู้เดินช้าแต่มันไม่เดินช้าด้วย เอาไวลูกเดียว ทำให้หลุดได้ง่ายและพลาดง่ายอีกด้วย แบบนี้เรียกว่าเดินจังหวะเดียว
ไก่เชิงมัดสองปีก จะมีลักษณะมุดหัวซุกเข้าไปใต้ปีกของคู่ต่อสู้ได้ทั้งซ้ายและขวา และโผล่หัวออกมาทางโคนปีกหรือทางกลางปีกของคู่ต่อสู้ แล้วยืดหัวไปจิกคู่ต่อสู้ ดึงหรือกดแล้วตี โดยคู่ต่อสู้จะไม่มีโอกาสได้จิกตีมันเลย ส่วนมากมันจะจิกตีหัวและหลังคู่ต่อสู้ ไก่เชิงมัดมีอยู่ 3 แบบได้แก่ มัดโคนปีก มัด 7 เส้น มัดปลายปีก
ไก่เชิงมัด จะต้องเป็นไก่เดินเร็ว ถ้าเดินช้าความเก่งจะน้อยลง หากไปเจอคู่ต่อสู้ที่เดินเร็วกว่าจะมัดลำบาก ไก่มัดดีจะต้องเดินเร็ว หัวไหวหลบเข้าปีกซ้ายขวาได้คล่อง โดยคู่ต่อสู้งงไม่รู้ทาง และที่แน่นอนไก่เชิงมัดจะต้องอยู่ข้างคู่ต่อสู้ตลอดเวลาได้ตีหัวตลอดในลักษณะตีสวาปและทุบหลังเป็นหลัก สลับกับการตีสีข้างและปั้นขา ยิ่งไก่มัดเก่งๆเมื่อหัวเข้าปีกได้มันจะรีบบิดคอซ้ายและขวาโดยเร็วพร้อมเอาอกดันสีข้างคู่ต่อสู้ แล้วเอาหลังหรือไหล่ดันกระทุ้งคู่ต่อสู้โดยเร็วคู่ต่อสู้จะอ่อนลงเรื่อยๆ ไก่มัดจะหมดท่าไม่ได้เรื่องก็เมื่อไม่สามารถตีถูกคู่ต่อสู้ได้นั้นเอง
ไก่ลง เป็นไก่ที่เข้าเชิงชนแล้วก้มหัวต่ำ หัวของมันจะอยู่ในระดับหน้าคอ หน้ากระเพาะ และต่ำกว่า เช่น หัวต่ำ ไม่เดินแต่เบียดติดโดยแอบแนบหัวของมันหน้าคอคู่ต่อสู้บ้าง หน้ากระเพาะบ้าง หรือที่โคนคอ ซุกปีกแอบอยู่ใต้อก เมื่อคู่ต่อสู้เผลอก็จะรีบตีแล้วรีบแอบจนคู่ต่อสู้เพลียหมดปัญญามันจึงจะออกมาตีคู่ต่อสู้ มีบางตัวหัวต่ำเดินไม่หยุด เช่นหมุดเข้าปีกออกมาตีคู่ต่อสู้ มุดแบกขาโผล่ออกมาแล้วมุดตัวมาตี ลีลาไก่จำพวกนี้เรียกว่า เชิงเล็ดลอด ซุ่มซ่อน ลักตี ขโมยตี ไก่ลงลอดทะลุหางนี้ยังแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ( จากพอใช้ไปถึงดีมาก ) คือ ลงทะลุหาง ลงงัด ลงฉีกขา

ผู้สันทัดกรณียังให้ความเห็นของไก่ลงตัวที่เก่งๆว่า ขนหัวจะต้องไม่ร่วง มุดเข้าท้องเร็ว คู่ต่อสู้ไม่รู้ตัว กลับตัวตีเร็ว สำหรับไก่ฉีกขาหรือที่เรียกว่า"ไถนา" พอมันมุดเข้าท้อง พอหัวทะลุขา ไหล่มันจะอยู่ระหว่างขาตัวยืน มันจะรีบบิดส่วนคอพร้อมกับยกตัวคู่ต่อสู้จนเสียหลักเดินโขยก เขยกขาเดียวเนื่องจากขาอีกด้านหนึ่งอยู่บนหลัง จากนั้นเจ้าตัวอยู่ล่างก็พาแบกเดินไถไปเรื่อยๆ นานบ้างเร็วบ้างแล้วแต่จะหลุด ถูกทำบ่อยคู่ต่อสู้ก็หมดแรงเป็นฝ่ายถูกตีอยู่ล่ำไป ไก่เชิงที่มีฝีมือแพรวพราว โดยเฉพาะมีลีลามากกว่า 3 เชิงขึ้นไปจะได้เปรียบคู่ต่อสู้ แต่ถ้ามีลีลาครบเครื่องหรือที่เรียกว่า " ไก่ทรงเครื่อง" ก็เชื่อขนมกินได้เลยหาผู้ไร้เทียมทานต่อกร แต่ก็หายากจริงๆ

ทีเด็ดลูกตี

          " ไก่เก่งไก่ดีๆนั้น" หาไม่ยาก…แต่ก็ไม่ง่ายเพราะทุกวันนี้มีการพัฒนาไก่เชิงกันมากขึ้น ไม่ว่าจะไก่พม่า(ไก่เหนือ) ไก่ตราด ไก่ เวียดนาม ขณะที่ไก่พม่ามีโอกาสชนะไก่เชิง(ไก่ตราด) ไก่เวียดนามก็ชนะไก่พม่า ไก่เชิงหรือไก่ตราดก็มีโอกาสชนะไก่เวียดนาม เป็นวงจรเรียกว่า " แพ้ทางกัน" เป็นวงกลมจะหาไก่เก่งไก่เชิงสุดยอดไม่ได้ ในสังเวียนไก่ชนทั่วไป มักจะเห็นไก่เชิงดี ตีเจ็บกันมากขึ้น ไก่พม่า ไก่ยืนโด่ มีให้เห็นน้อยในสังเวียนใหญ่ๆในภาคกลาง หากเล็ดลอดเข้ามาก็ถือว่า ฝีมือฉกาจชนิด ปากไว ปากถึง แข้งถึงตีโขนง-ตีตอ หรือหากเป็นไก่ยืนก็ต้องมีลำหักลำโค่นดี ประเภทตีหัก ตีดิ้น ตีชัก ไก่ชนที่ดีหรือชนเก่ง นอกจากจะมีชั้นเชิงในการชนแล้วยังต้องพิจารณาการตีของไก่คือ…

ต้องตีแม่น คือต้องตีถูกคู่ต่อสู้มากไม่ค่อยผิดพลาด
ต้องตีกลัว คือตีถูกคู้ต่อสู้จนมีอาการทรุดฮวบฮาบแสดงอาการว่าจะแพ้ถึงกับขยาดและหนีในที่สุด
ต้องตีเจ็บ คือตีคู่ต่อสู้แสดงอาการเจ็บปวดอ่อนแรง
ตีหักตีชัก คือตีคู่ต่อสู่ลงนอนฟุบประเภทชักดิ้นชักงอหรือกระโดดวิ่งหนีไปเลย
จากทฤษฎีวิชาการและภูมิของนักเล่นไก่ระดับเซียนทั้งหลายต่างมีข้อสรุปไปในทิศทางเดียวกันว่าชั้นเชิงฝีมือและความเก่งกาจในการชนของไก่ หรือการต่อสู้นั้นเป็นลักษณะเฉพาะตัวที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือทำการฝึกหัดฝึกซ้อมด้วยวิธีการต่างๆภายนอกเหมือนกับนักมวยได้ที่เราทำได้ ก็แค่เตรียมความพร้อมและความสมบูรณ์ให้กับไก่ส่วนชั้นเชิงเราเตรียมให้ไม่ได้ อีกทังยังมีความสามารถถ่ายทอดสู่ลูหลานได้ต่ำซึ่งนั้นก็หมายถึงว่า แม้จะมีการคัดเลือกเอาแต่เฉพาะพ่อแม่พันธุ์ที่มีฝีมือดี แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าลูกที่ได้ออกมาตีเก่งตามไปด้วย ลูกไก่ที่เกิดมาไม่เก่งตีไม่ดีหรือ เป็นไก่โง่ตีโง่ฝีมืออย่างไรก็อย่างนั้นฝึกหัดให้ดีไม่ได้ อย่างไรก็ตาม…ผู้เลี้ยงไก่และนักเล่นไก่ต้องปรับปรุงพันธุกรรมเป็นหลัก 

สำหรับลูกเด็ดลูกตีลีลาของไก่แต่ละตัวพอแบ่งออกได้ดังนี้

ตีตอส่วนใหญ่จะพบในไก่ใต้ ไก่อินโดฯ และไก่พม่า เพราะคนเหล่านี้นิยมปล่อยให้ตีตอ เพราะตีทุกทีเจ็บทุกทีจึงพากันหาไก่ตีตอจัดๆกันมากแต่ในบ่อนภาคกลางไม่ค่อยนิยมกันเพราะไก่สไตล์นี้ถึงชนะก็เสียไก่ แต่นิยมในภาคใต้และภาคเหนือเพราะเห็นผลแพ้ชนะกันเร็ว
ตีตาส่วนใหญ่เป็นสไตล์ของไก่ตีตอซึ่งเป็นไก่ยืนตีไม่มีเชิงเพราะไก่อื่นที่จะตีถูกลูกตาเป็นเรื่องยาก ไก่ตีตอส่วนมากจะตีบริเวณวงแดงตรงใบหน้าที่เป็นสีแดงโขนง หัว ตา แต่ก็เป็นเรื่องยากที่จะตีโดนตาทุกลูกแต่ถ้าตีถูกแล้วถูกบ่อยก็ชนะได้อย่างขาดลอย
ตีโขนงลักษณะนี้จะเป็นไก่เชิงเสียส่วนใหญ่ หรือในไก่พม่าที่ชอบตีสาด เตะกินเปล่า ดีดแข้ง จับหน้าหงอนตี คือถ้าได้เชิงไหนก็ตีทันที และหากไก่ถูกตีโขนงก็จะหัก ถึงกับทรุดซวนเซและยอมแพ้ไปเลยหากเป็นไก่เชิงยืนมาเจอไก่เชิงแบบนี้ก็ลำบาก
จับหน้าหงอนตีเชิงตีประเภทนี้ส่วนใหญ่จะเป็นไก่ภาคกลาง ไก่พม่า ไก่ใต้ และมักเป็นไก่ใช้ตอ หากใช้เชิงตี คู่ต่อสู่จะอยู่ได้ไม่เกิน 3-4 อัน ข้อเสียของไก่จับหน้าหงอนตีจะแพ้ไก่เชิงจัดจ้าน กอดกดขี่ทับจนบางครั้งเสียเหลี่ยมไก่ไปเลย
ตีตุ้มและคางส่วนใหญ่จะเป็นลีลาของไก่ยืนที่ชอบตีตุ้มตีคาง เป็นไก่ยืนที่แปะหน้าตีกันในไก่เชิงไม่ค่อยมีให้เห็นไก่ลีลาแบบนี้ ไม่ค่อยจะชอบไก่ตีโขนงและจับหน้าหงอนตี หากเจอกันมักจะแพ้ทางกัน
ตีหัวตีท้ายทอยส่วนใหญ่จะยืนเกาะเกี่ยว 2 หน้า ในไก่เชิงก็จะมีให้เห็นและส่วนใหญ่อยู่ในไก่เชิงกอด กด ขี่ จะตีหัวตีท้ายทอยได้ดี สร้างความเจ็บปวดรุนแรงได้ดีพอควร อยู่ที่จังหวะตัวไหนจะดีกว่ากันและตัวไหนมีลูกตีที่เด็ดขาดกว่า
เท้าบ่าตีตัวในไก่เชงจะเห็นได้บ่อยเป็นลูกหากินและแก้ไขสถานการณ์ที่เกิดเพี้ยงพล้ำคู่ต่อสู้ได้ เช่นกำลังเชิงบนกันอยู่ ( กอด กด ขี่ ) เดินสะดุดเสียจังหวะคอบิดอยู่ในจังหวะเป็นรองคู่ต่อสู้เข้าข้างหลัง ก่อนที่คู่ต่อสู้จับหูนอกหรือท้ายทอย มันจะรีบจิกบ่าตีตัวคู่ต่อสู้ให้กระเด็นออกไป แล้วค่อยกลับมาสวมคอเล่นเชิงกันต่อไป เจอเข้าบ่อยๆเป็นได้ยุบได้เหี่ยวเหมือนกัน
ตีสวาปเป็นการตีเข้าสีข้าง ไก่เชิงมัดฝีมือจัดๆ ถ้ามีลูกนี้ถือว่าเก่งมาก ถือเป็นลูกหลบหลีกแก้ไขสถานการณ์ ทั้งยังเป็นลูกหากินที่คู่ต่อสู้ไม่มีทางป้องกัน คือ ถ้าเข้าล็อกปีกก็ตีได้ แต่ถ้าหากเป็นไก่ตีลำโตลูกตีสีข้างอันที่สองของคู่ต่อสู้จะออกอาการให้เห็นปีกจะห้อยไม่มีกำลังจะบิน
ทุบหลังว่ากันว่าในหนึ่งอันขอให้ทุบหลังคู่ต่อสู้ 3 ทีก็พอ เพราะถ้าโดนแล้วคู่ต่อสู้จะบุบหรือหมดแรงเอาดื้อๆ จากที่เป็นไก่ตีแม่นพาลไม่ตีเอาเลย เดี๋ยวนี้มีผู้ที่ชื่นชอบไก่ที่มีแม่ไม้นี้เพราะขณะที่สถานการณ์เป็นรองอยู่หากไก่เราได้ทุบหลังคู่ต่อสู้อันละทีสองที มีสิทธิ์กลับมาเป็นต่อและชนะได้ไก่บางตัวกำลังตีอยู่พอโดนทุบหลังเข้าหน่อยถอดใจยอมแพ้เอาดื้อๆ เซียนไก้พากันกลัวนัก
ตีหู รูหู บ้องหูส่วนเหล่านี้ถือเป็นจุดอันตรายของไก่ หากคู้ต่อสู้ตีเข้าบ้องหูบ่อยๆจะทำให้เสียการทรงตัวเพราะเป็นจุดเชื่อมต่อประสาทหลายส่วนของตัวไก่ บางตัวโดนทีเดียวถึงกับถลาทรุด บางตัวก็เซถลามึนงงเดินเหมือนแผ่นดินพลิก ยิ่งถ้าถูกตอแทงบริเวณข้างหูถึงกับคอแข็ง และหากโดนแทงเข้ารู้หูบางตัวถึงตายคาแข้งมาแล้ว แต่ไก่ที่มีลูกไม้แบบนี้หายากส่วนใหญ่จะเป็นไก่ตีเหลี่ยม ตีตอ ของไก่พม่าและไก่ใต้
หลอดคอบางคนเรียกคอเชือด ตรงบริเวณที่เขาเชือดคอไก่นั้นแหละ เป็นส่วนที่บอบบางและเป็นที่อยู่ของหลอดลม เมื่อถูกตีหนักๆและรุนแรง ไก่จะเจ็บปวดและแสดงอาการให้เห็นทันที บางตัวโดนเข้าถึงกับหลอดลมแตกตายคาแข้งคาสังเวียนมีให้เห็นอยู่บ่อยๆ ถือเป็นแม่ไม้ และลูกอันตราย แต่แม่ไม้นี้ก็เสี่ยงเช่นกันเพราะจะตีหน้าคอก็ต้องก้มลงจุ่มตี เสี่ยงจะโดนคู่ต่อสู้ที่ชอบจับหน้าหงอนหรือตีโขนง
สามเหลี่ยมถือเป็นจุดอันตรายจุดหนึ่ง เมื่อไก่โดนถึงกับยุบ หมดแรงเอาดื้อๆ บางตัวโดนเข้าไปถึงกับไม่อยากออกอาวุธเพราะกลัวถูกโต้กลับ ที่เรียกว่า สามเหลี่ยมนี้ เป็นข้อต่อระหว่างกระดูกคอและลำตัวจะมีกระเพราะพักอยู่บริเวณด้านหน้าเป็นจุดที่เสี่ยงอันตรายจากการถูกโจมตีมากที่สุด เพราะส่วนนี้มีหน้าที่ในการยึดส่วนคอและส่วนหัวทั้งหมดให้ติดกับลำตัว หากถูกตีทำให้เสียวตัวจนออกอาการให้เห็นหากถูกตีเข้าบ่อยๆแรงๆ ทำให้ฐานคอพับ (คอหัก) ตายได้ง่ายอีกด้วยส่วนตรงโคนคอด้านหลัง ที่อยู่ตรงข้ามสามเหลี่ยม ก็เป็นจุดอันตรายจุดหนึ่งหากเจอเข้าไปสองสามทีในแต่ละอันถึงกับบินแกว่ง โดนบ่อยๆก็ยุบออกลีลาอะไรไม่ได้
ปากบนและล่างอวัยวะส่วนนี้เป็นส่วนสำคัญของไก่ หากปากไก่ไม่แข็งแรงพออาจถูกตีให้ปากหลุดปากหักนั่นก็หมายถึงการพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง ควรจะเลือกไก่ที่มีร่องน้ำลึกโคนปากใหญ่และหนา


สรุปได้ว่า ไก่เก่งด้วยลีลาทุกเชิง มีแม่ไม้แพรวพราว ก็ถือเป็นไก่ชนเก่ง ยิ่งมีลำหักลำโค่น ความฉลาดแข็งแกร่งมีไอคิวสูงในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ก็ถือเป็นไก่เก่งสุดยอด

ไก่ที่มีลักษณะใช้ไม่ได้

ลักษณะไก่ ไร้สัญชาติญาณ

ไก่ซึ่งมีลักษณะไม่ดี บ่งบอกว่าไก่ตัวนั้นมีความบงพร่องในสัญชาติญาณการต่อสู้ ขาดความทรหดอดทน จิตใจไม่แข็งแกร่ง มีความเป็นนักสู้น้อย ถ้านำลงสังเวียนชนมีโอกาสแพ้มากกว่าชนะ ไก่ที่มีลักษณะไม่ดีพอจะแยกออกดังนี้

หัว-หน้า

มีหัวใหญ่กลม แสดงว่าเป็นไก่ไอคิวต่ำ ทั้งดื้อและโง่ ไม่รู้จักการแก้ไขสถานการณ์ เวลาตีมักจะตีเชิงเดียวตลอด คิ้วบางเป็นสันแหลมเรียกว่าคิ้วลิง เป็นคิ้วเปราะบางถูกตีสันคิ้วมักชักง่ายๆ คิ้วไม่คุ้มตามีโอกาสถูกแทงตาบอดได้ง่าย นัยน์ตากลม ขอบตาหนา ตาดำใหญ่ ตาขาวดำ มองรวมๆกันจะออกเป็นสีแดง ชอบกลอกนัยน์ตา ลอกแลก บอกให้รู้ว่าเป็นไก่ใจเสาะ ถอดหัวหนีไม่บอกไม่กล่าว ไว้วางใจไม่ได้

หงอน

ไม่รัดกอดกระหม่อม มีสีซีดไม่แดงสดใส แสดงว่าเป็นไก่ไม่แข็งแรงเต็มที่ หรือเป็น ไก่หงอนรูตรงปลายหงอนซึ่งว่ากันว่าเป็นไก่ไม่มีสกุล จิตใจไม่แน่นอน บางครั้งอาจสู้ บางครั้งอาจไม่สู้ มีปลายหงอนมาตรงกับตาดำ เชื่อว่าไม่สามารถคุ้มตาตัวเองมักถูกตีตาบอดง่าย มีหงอนพับหรือเอียงไปข้างหนึ่ง

เหนียง

มีขนาดใหญ่ และยานอย่างที่เรียกว่า "คางวัว" เป็นจุดอ่อนของไก่ เพราะฝ่ายตรงข้ามจิกจับได้ง่าย กลายเป็นเป้าหมายให้คู่ต่อสู้โจมตีสะดวก และแก้ไขได้ยาก

ปาก

ยาวเกินไปหรือสั้นเกินไปไม่สมส่วนกับใบหน้า ปลายปากไม่งองุ้มเหมือนปากนกแก้วหรือปากเหยี่ยว ปากบน ปากล่างปิดไม่สนิท ขอบปลายปากไม่มีความคม ทำให้จิกจับคู่ต่อสู้ไม่มั่น หรือไม่ติด มีโคนปากเล็ก บอบบาง ปากไม่มีร่องน้ำแสดงว่าปากไม่แข็งแรง ทำให้ปากหัก ปากหลุดได้ง่าย

คอ

ยาวเกินไปหรือสั้นเกินไป คอเล็กกระดูกคอเป็นปล้องห่างๆ ไม่ชิดแน่น ซอกคอห่างจากลำตัว แสดงว่าคอไม่แข็งแรง ขาดพลัง ถูกตีหัวได้ง่าย มีคอเป็นสองวงหรือคดสองกระด้ง(คอเหมือนคออูฐ) เปิดปากดมดูต้องมีกลิ่นสะอาด ถ้ามีกลิ่นคาว เน่าเหม็น แสดงว่าในลำคอมีแผลระบบการย่อยอาหารไม่ดี

หน้าอก

มีอกรวบแคบ กระดูกอกคด แสดงว่าไม่แข็งแรง ขาดความอดทน ถ้าอกยานทำให้เสียเปรียบตอนเปรียบคู่ เพราะดูเหมือนจับใหญ่

ลำตัว

มีลำตัวยาวเหมือนรูปฟัก เวลาเปรียบคู่เสียเปรียบไก่ยาวแบบ"จับสองท่อน" เพราะเขาจะสูงกว่า หรือมีลำตัวสั้นกลมเหมือนลูกมะพร้าวเวลาตีต้องยืดต้องเขย่งตี บินตีก็ต้องบินสูง ทำให้ตีไม่หนัก สูญเสียความรุนแรงเฉียบขาดในการตี

หลัง

แคบโก่งนูนขึ้นมาเหมือนคนหลังค่อม หรือกระดูกสันหลังมีลักษณะเหมือนหลังหัก ท่อนท้ายลำตัวแคบ แสดงว่าเป็นไก่ไม่แข็งแรงไม่อดทน

ปีก

กระดูกปีกค่อนข้างเล็กบาง คลำดูกล้ามเนื้อแฟบลีบ ปีกเป็นสองลอน สามลอน สนับปีกบาง ขนเปราะหักวิ่น ทำให้บินไม่ดี สมรรถภาพในการตีลดลง

หาง

หางโค้งยาวเป็นไก่แจ้ เวลายืนยืดอกทำให้เหยียบหางตัวเอง หรือถูกฝ่ายตรงข้างเหยียบหาง ทำให้เสียหลักล้ม กระเบนหางเล็ก-คด-อยู่ห่างลำตัว แสดงว่าเป็นไก่ไม่แข็งแรง

สร้อย

สร้อยคอสร้อยหลังขาดเป็นไก่ไม่มีสกุล จะสู้ไก่ที่มีสร้อยคอสร้อยหลังสมบูรณ์ไม่ได้ เรียกว่า แพ้สกุลไก่

กระปุกน้ำมัน

อยู่ห่างจากตัวไปทางหางแสดงว่าเป็นไก่เชื่องช้า ไม่อดทน ถ้ามีกระปุกน้ำมัน 2 อันมักเป็นไก่ใจเสาะ(แต่นักเลงไก่บางคนกลับถือว่ามีกระปุกน้ำมัน 2 อันเป็นไก่ตีเก่ง)

แข้ง

มีความยาวเก้งก้าง แข้งเป็นเหลี่ยม ท้องแข้งแห้ง เกล็ดบางนิ่มเกยกัน บนแข้งมีเกล็ดแพ้ เช่น อันบอด หลุมผี เป็นต้น แสดงว่าตีไม่เจ็บ ไม่มีลำหนัก ตีไม่แม่น

นิ้วเท้า

นิ้วสั้น บิด งอ เก อุ้งเท้าบวม นูน เล็บสั้น แสดงว่ายืนดินไม่ดี ขาดความมั่นคง เล็บสั้นทำให้ใช้เล็บเป็นอาวุธได้ไม่เต็มที่

เดือย

ตอเดือยเล็กบอบบาง ทำให้เดือยโค่นง่าย เดือยอยู่ห่างจากก้อยมากและโค้งงอขึ้นข้างบน ทำให้เวลาไก่กระโดดตีเดือยจะไม่ถูกจุดสำคัญบนตัวคู่ต่อสู้

การดูสีของไก่


1. ประดู่หางดำ มีลักษณะเด่นที่สังเกตได้ดังนี้
ปาก สีดำ ( ห้ามปากแดงหรือขาว ) ปากจะต้องอูมใหญ่ โคนปากใหญ่คล้ายนกแก้ว ปากบนจะมีร่องน้ำ 2 ข้างระหว่างร่องน้ำจะเป็นสันราง
ตา ตาขาวหรือตาสีน้ำข้าว หรือตาที่นักเลงไก่เรียกว่า ตาปลาหมอตาย
หงอน เป็นหงอนหิน จะไม่มีจักเลย
สร้อยคอ สีประดู่ยาวประบ่า
ปีก จะใหญ่และยาว
สร้อยปีก สีประดู่ ระย้าประก้น
ขนลำตัว ปีกและหางพัด มีสีดำ
หางกะลวย สีดำ
แข้ง เล็ก เดือย ทุกอย่างสีดำ
ตัวผู้กับตัวเมียไม่เหมือนกัน มีแตกต่างกันที่ตัวเมียไม่มีสร้อย ประดู่ดำ ปากดำ แข้งดำ ตาดำ (ถ้าหนังดำเรียก แสมดำ) ถ้าเป็นสีประดู่อ่อนๆ และมีสีออกไปทางแดง เรียกว่าประดู่แดง ถ้าตั้งแต่โคนขนจนถึงกลางของขนสร้อยคอสร้อยหลังเป็นสีขาวต่อจากนั้นจึงเป็นสีประดู่ โดยอาจมองเห็นสีขาวได้เลย หรืออาจต้องเปิดขนจึงจะเห็น สีขาว หรือขนสร้อยบางเส้นอาจเป็นสีขาวทั้งเส้น เรียก ประดู่เลา ไก่ประดู่เลา ประดู่แดง ต้องมีหางขาวจึงจะสวย ถ้าตรงกลางสร้อยคอ สร้อยหลังเป็นสีเขียว แต่ตรง ขอบของขนและตรงปลายขนเป็นสีประดู่ เรียกเขียวประดู่ หรือประดู่เขียว



2. เหลืองหางขาว มีลักษณะเด่นๆ พอที่จะสังเกตได้ดังนี้
สี ออกเหมือนดอกโสน ขาวอมแดง ขาวอมเหลือง
ปาก ปากใหญ่ขาว คือ ปากสีขาวอมเหลืองหรือสีงาช้าง ปากยาวอวบใหญ่คล้ายกับปากนกแก้ว มีร่องน้ำเห็นได้อย่างชัดเจน ตรงกลางนูนเป็นสันราง
ตา ตาขาวจะมีเส้นสีแดงๆ เรียกว่าตาเพชร ตาเป็นลักษณะตาเหยี่ยว หัวตาแหลม ตาดำคว่ำ เล็กหรี่ รอบตาดำสีขาวอมเหลือง
หาง ขนหางกระรวยมีสีขาว พุ่งออกยาวมองเห็นได้เด่นชัด ถ้ายิ่งขาวและยาวมากๆ จะดีมาก ขนหางควรพุ่งตรงและยาว ปลายหางโค้งตกลงเพียงเล็กน้อย
ขาแข้งและเดือย มีสีขาวอมเหลือง เป็นสีเดียวกับปาก เกล็ดมีลักษณะแข็งและหนาแน่นเรียบ เดือยใหญ่แข็งแรง นิ้วยาว เล็บสีขาวอมเหลืองทุกเล็บ ไม่มีสีอื่นๆปนเลย
หงอน ด้านบนของหงอนจะบาง เรียบ ปลายหงอนยาวเลยตา โคนหงอนที่ติดกับหนังศรีษะหนาแน่น อาจมีลักษณะเป็นหงอนแจ้ หงอนหิน หงอนบายศรี
ตุ้มหู จะมีสีแดงสีเดียวกับหงอน ไม่มีสีขาวเลย ตุ้มหูมีขนาดเล็ก รัดรับกับใบหน้า ไม่หย่อนยาน
เหนียง เล็ก รัดติดกับคาง ไม่ยานหรือไม่มีเหนียง
รูปหน้า เล็ก แหลม ยาว มีเนื้อแน่น ผิวหน้าเรียบเป็นมัน กะโหลกศรีษะหนาและยาว
อก อกไก่จะแน่นกลม มีเนื้อเต็ม กระดูกอกหนา ยาว และตรง
หลัง เป็นแผ่นกว้าง มีกล้ามเนื้อมาก มองดูแล้วเรียบตรง ไม่โค้งนูน
ไหล่ ตั้ง ยกตรง มีความกว้างพอสมควร
คอ ยาว ใหญ่ กระดูกข้อถี่
ปั้นขา จะใหญ่แข็งแรง มีเนื้อมาก กล้ามเนื้อแน่น
สร้อยคอ เหลือง หรือเหลืองแกมส้ม สร้อยคอยาวต่อกับสร้อยหลัง
สร้อยหลัง เป็นสีเดียวกับสร้อยคอ ควรเรียงกันเต็มแผ่นหลัง เริ่มตั้งแต่โคนคอจนถึงโคนหาง เส้นขนละเอียดยาวเป็นระย้า
สร้อยปีก สีเดียวกับสร้อยคอ เรียงกันแน่นเต็มบริเวณหัวปีกจนถึงปีกชัย มองดูเป็นแผ่น



3. สีเขียว หรือ เขียวเลา ลักษณะโดดเด่นโดยส่วนรวมก็คือ มีสีขาวปนนิดๆ คล้ายประดู่เลา เช่น ปาก กกปาก แข้ง เรียกว่าเขียวเลา
สีตัว ดำอมเขียว หรือน้ำเงิน
สร้อย โคนสร้อยขาว ปลายสร้อยเขียว
ขนปีก สีขาวปนดำ เช่น ขนขาวเป็นบางส่วน ขาวทั้งเส้น ดำทั้งเส้น แต่ควรจะขาวสลับดำ
หางกระรวย ขาว อาจจะมีสีขนสีขาวสัก 3-5 เส้น
เดือย ใหญ่
ท้อง แข็ง
ส่วนไก่ตัวไหนที่มีขนตามตัวสีดำ สร้อยคอเขียว สร้อยหลังเขียว ปากขาว แข้งขาว หางขาว เรียก เขียวพาลี ถ้าขนตามลำตัวดำ สร้อยหลังเขียว สร้อยคอเขียว แต่ที่ขอบตอนปลายของสร้อยคอมีสีเหลืองทอง เรียก เขียวสร้อยทอง



4. สีกรด มีลักษณะเหมือนสีนกกรด คือ สีจะออกแดง ปีกแดง ลำตัวจะออกสีโกโก้ ปากขาวใหญ่ หางขาวต้องเป็นสีขาวสนิท ถ้าก้านหางแดง หางต้องดำสนิท ไม่มีขาวปน



5. สีเทา ลักษณะโดดเด่น ที่สังเกตได้ คือ ขนตามตัวเป็นสีเทา อาจเข้มเกือบดำ หรือเทาจางๆเกือบขาว
สร้อยคอ สีเทา หรือ อาจจะเป็นสีเดียวกันกับสีตัว แต่อาจจะเข้มกว่า หรือจางกว่าสีตัวก็ได้
ขนปีก ตามปกติจะเป็นสีเทา หรืออาจเป็นสีเดียวกับตัว แต่อาจเข้มกว่า หรือจางกว่าสีตัวก็ได้
ขนหาง สีเทา อาจเป็นสีเดียวกับตัว หรืออาจเป็นสีเข้มเกือบดำ หรือดำสนิท หรือสีจางเกือบขาว หรือขาวก็เคยพบ ถ้าสร้อยหลังสีเหลืองเรียกเทาทอง หรือสร้อยหลัง
สีประดู่ สาปปีกสีประดู่เรียกเทาประดู่ สร้อยหลังสีประดู่แดงหรือทับทิม สาปปีกออกสีทับทิมแดงเข้มเรียกเทาแดง ,เทาทองแดง ถ้าสร้อยหลังมีสีเขียวเข้มหรือเขียวๆ เทาๆเรียกเทาดำ



6. สีลาย สีออกลายเหมือนนกกาเหว่า แต่ต้องเป็นลายปนเหลือง ปากขาวหนาใหญ่ หางขาวไม่มีปนดำ แข้งขาวปนเหลือง เดือยใหญ่



7. สีดำ ไก่สีดำหมายถึงไก่ที่ไม่มีสีอะไรมาเจือปน สีต้องดำสนิท ปากใหญ่หนาดำสนิท ตาแดงเหมือนเหยี่ยว หรือเหมือนนกกรด หางดำไม่มีขาวปน เดือยใหญ่และดำ แข้งดำแข้งไม่เขียว



8. ด่างน้ำดอกไม้ หรือไก่ด่าง สีออกเหลืองปนขาวเป็นจุด หรือมีสีดำแซม
สร้อย สีเหลืองปนขาว
ขนปีก สีขาวสลับกับดำ
สีตัว สีขาวสลับดำ
หางกระรวย สีขาวสลับดำ
สีหาง สีขาวสนิท
หางพัด สีขาวสลับดำ
แข้ง ขาวปนเหลือง
เล็บ ขาว หรือขาวสลับดำ
ปาก สีขาวเหลือง
เดือย ใหญ่

นิ้วงามตามตำรา

อวัยวะส่วนสำคัญของไก่ชนอีกอย่างหนึ่ง ที่ในตำราโบราณได้ว่าไว้นั่นคือส่วนที่เรียกว่า "นิ้ว ไก่" ว่ากันว่านิ้วของไก่ตัวใดที่ถูกต้องตามตำรานั้น ย่อมจะแสดงให้เห็นถึงคุณลักษณะของไก่ที่มีความเก่งฉกาจเหนือไก่ธรรมดาโดยทั่วไป โดยตำราโบราณได้กล่าวถึงรายละเอียดของนิ้วไก่ที่ดีดังต่อไปนี้



สุดยอดของไก่ตามตำราที่ว่าไว้ก็คือ ลักษณะ "ก้อย 5 หน้า 21"หรือ "ก้อย 5 หน้า 16 ซึ่งมีอยู่ 2 ลักษณะด้วยกัน โดยตามตำราถือว่าเป็นสูตรของนิ้วไก่ที่ดี และทั้งสองลักษณะดังกล่าวจะมีคุณสมบัติแตกต่างกันออกไป

ลักษณะที่ 1 "ก้อย 5 หน้า 21" 
คำว่าก้อยนั้นหมายถึงนิ้วก้อยหลังของไก่ ส่วนคำว่าหน้าก็มีความหมายถึงนิ้วกลางของไก่นั่นเอง สำหรับตัวเลขที่กำกับอยู่นั้น หมายถึงจำนวนของเกล็ดที่มีอยู่บนนิ้วซึ่งจะนับตั้งแต่ปลายเล็บไปถึงโคนนิ้ว ดังนั้นคำว่า "ก้อย 5 หน้า 21" จึงหมายถึงเกล็ดบนนิ้วของไก่ ซึ่งก้อยหลังควรจะมี 5 เกล็ดและนิ้วกลางควรจะมี 21 เกล็ดนั้นเอง
ลักษณะดังกล่าวจะเห็นได้ว่า เมื่อยามที่ไก่ยืนอยู่เฉยๆ จะมองเห็นเป็นมุมซึ่งเป็นจุดตัดแบ่งแยกระหว่างเกล็ดของนิ้วกับเกล็ดของแข้งพอดี ไก่ตัวใดที่มีนิ้วตรงตามตำรา คือก้อย 5 หน้า 21 ก็ถือได้ว่าเป็นไก่ที่มีนิ้วเป็น "นิ้วขุนนาง" เป็นไก่ที่มีความสามารถในการตีสูง คือตีไก่เจ็บ ตีไก่กลัว และหนีเอาง่ายๆ ถึงแม้ว่าจะโดนเจ็บไม่เท่าไหร่ก็ตาม เรียกว่าตีไก่กลัวง่ายนั้นเอง ไก่ประเภทนี้ ส่วนใหญ่มักจะใช้นิ้วที่ยาวเรียวเป็นอาวุธในการโจมตีคู่ต่อสู้มากกว่าจะใช้เดือย

ลักษณะที่ 2 "ก้อย 5 หน้า 16" 
ลักษณะโดยรวมคล้ายคลึงกับไก่นิ้ว "ก้อย 5 หน้า 21" จะต่างกันเพียงจำนวนตัวเลขของเกล็ดนิ้วกลางที่จะมีอยู่เพียง 16 เกล็ด ไก่ประเภทนี้ตามตำรากล่าวเอาไว้ว่าจะเป็นไก่ที่มีฝีตีนจัดจ้านมาก มีความว่องไวสูง มีความหนักหน่วงทุกท่วงทำนองการตี หากตีคู่ต่อสู้ในแต่ละทีมักจะเกิดอาการหักง่ายๆเหมือนกัน

ไก่ที่มีนิ้วประเภทนี้ แม้จะตีคู่ต่อสู้หักไม่กลัวจนหนีไปเหมือนกับไก่ที่มีเกล็ดนิ้วหน้า 21 เกล็ดก็ตาม แต่ก็สามารถที่จะทำให้คู่ต่อสู้หักจนตายได้ง่ายเหมือนกัน เช่นเดียวกับคำที่เรียกว่า "มะขามข้อเดียว" ซึ่งมีพละกำลังเหนือปกติธรรมดานั้นเอง

สำหรับก้อยหลังที่มี 5 เกล็ดนี้ ตามตำราได้กล่าวไว้เช่นกันว่า ไก่ที่มีเกล็ดนิ้วก้อยหลัง 5 เกล็ด หมายถึงจะเป็นไก่ที่มี เพลงตีที่เจ็บปวดและสามารถทำให้คู่ต่อสู้หักได้

ไก่นิ้วงามตามตำรา จึงหมายถึงไก่ที่มีเกล็ดตรงตามตำราดังกล่าว โดยทั้งก้อยหลังและนิ้วกลางหน้า ควรจะต้องมีครบทั้งหน้าและหลัง ไม่ใช่มีแต่เพียงก้อยหลังอย่างเดียว หรือนิ้วก้อยหน้าเพียงอย่างเดียว จึงจะเรียกได้ว่าเป็นไก่นิ้วงามตามตำราจริงๆ

การนับเกล็ดอย่างถูกวิธีนั้น กระทำได้โดยก่อนนับให้จับไก่ขึ้นแล้วดูที่โคนนิ้ว จับไก่ให้ยืนอยู่เฉยๆ แล้วเริ่มนับตั้งแต่เกล็ดที่อยู่ตรงมุมพับของนิ้วพอดีเป็นเกล็ดแรก หากมีการทับกันระหว่างเกล็ดหน้าแข้งกับเกล็ดนิ้ว จะต้องดูให้ดี ต้องแยกให้ชัดเจนว่าเกล็ดที่ถูกทับนั้นเป็นเกล็ดของนิ้วหรือเกล็ดของแข้งกันแน่

วิธีสังเกตง่ายๆก็คือ ให้แหวกดู ถ้าเกล็ดหงายขึ้นก็ถือว่าเป็นเกล็ดของนิ้ว หากเกล็ดตะแคงข้างก็ให้สรุปไปเลยว่าเป็นเกล็ดของแข้ง ให้เริ่มนับมาจนถึงปลายนิ้ว ว่ามีกี่เกล็ด หากถูกต้องตามตำราก็ถือว่าเป็นไก่ที่มีนิ้วงามถูกต้องตามตำราโบราณ
โดยทั่วไปแล้ว ไก่ที่มีเกล็ดนิ้วงามตามตำรา จะมีอยู่ไม่มากมายนัก จัดได้ว่าหายากพอสมควร ซึ่งโดยปกติทั่วไปแล้ว ก้อยหลังของไก่ส่วนใหญ่จะมีอยู่ 6 เกล็ดและนิ้วกลางจะมีอยู่ 19-20 เกล็ดเท่านั้น

เคล็ดลับตำราคู่เกล็ด

เคล็ดลับ ตำราดูเกล็ด เกล็ดหน้า เกล็ดหลังนับอย่างไร ? มีคุณมาก มีคุณน้อย เกล็ดก้อยไก่ชน เกล็ดแซมข้างเดียว ปีกด่าง - ขนดอก เดือยดำข้าง - ขาวข้าง ตีแม่นไม่แม่น นับอย่างไร วัดอย่างไร ? ผลดี ผลร้าย ให้คุณ หรือให้โทษ !?
ถ้าดูอย่างอื่นไม่ออก ให้ดูเกล็ดประกอบเป็นส่วนช่วย



ข้อ 1. นิ้วยาวได้กำหนด นับเกล็ดได้ 21 ขึ้นเป็นฤกษ์ดี เป็นเกล็ดนิ้วกลาง ตกสองพยางค์เลิศล้ำไก่เก่ง หมายความว่า เป็นไก่ชนสกุลรักเดิมพัน ตีชนกับใครมักชนะมากกว่าแพ้ แม้เป็นรองก็พลิกกลับเอาชนะได้ เมื่อมีข้อดี ก็ต้องมีข้อเสียเป็นสิ่งคู่กัน คือ สิ่งสำคัญอย่าประมาท อย่าเห็นว่ามีดีแล้วจะแพ้ไม่เป็น แพ้ได้ถ้าไม่มีความพร้อม พร้อมหนึ่ง ดูแลเอาใจใส่ให้กำลังใจเมื่อใกล้ชิด พร้อมสอง สุขภาพร่างกายฐานแรก ความสำเร็จ หมั่นการฟิตซ้อม พร้อมเมื่อถึงเวลา พร้อมสาม มือน้ำผู้รู้ใจแก้ไขเมื่อมีปัญหาสามรู้คู่วิชานำมาแห่งชัยชนะ

ข้อ 2. เกล็ดหลังนิ้วก้อย เกล็ดน้อยแต่มีพลังเป็นอาวุธ ยุทโธประการ ประมาณนั้นไซร้ ดุจช้างสารบางสถานการณ์พลิกผันทิ่มแทงเล็บประหนึ่งเดือย เกล็ดหลังพลังมาก นับได้ 8 เป็นแสนดี ตำรากล่าวร้อยวาที ฤทธิเดชนี้ เล็บก้อยเอย ความหมาย อีกลักษณะไก่ดีมีสกุล เกล็ดก้อยหลังนับเรียงกันให้ได้ 8 สรรพคุณ ตำราโบราณกล่าวว่า เป็นไก่ชนปอดใหญ่ ใจโต กำลังดี สู้ได้นาน อึดทนเหนื่อยช้าดีกว่าไก่พันธุ์อื่น ยืนมั่นคง แข็งแรงดี

ข้อ 3. เปิดตำราสูตรใหญ่ปู่ตูม ทำนาย หาไก่ตีแม่น วิธีง่ายๆให้เอาเส้นไม้กวาดทางมะพร้าวหรือวัสดุอื่นก็ได้ วัดข้อนิ้วเท้า-นิ้วกลางไก่ชน วัดจากข้อพับนิ้วโคนสุดบนไปจรดปลายเล็บยาวเท่าไร ให้วัดจากที่เดิมตรงข้อพับนิ้วบนสุด วัดขึ้นไปบนแข้ง ข้อพับบน (คือ ข้อขาบน) วัดแล้วยาวสุดที่ตรงไหน ให้ทายว่าตามตำราดังนี้
3.1 วัดได้เสมอกลางแข้ง ไม่ดีตีไม่แม่น ภาษาไก่เรียกว่ายกโกหก คือ ยกผิดยกถูก
3.2 วัดได้เหนือกลางแข้งขึ้นไปเท่าไหร่ยิ่งดี ถ้าวัดได้ถึงข้อพับบนจรดขนข้อพับ ตำราว่าดีนัก ตีแม่น แทงแม่น เรียกว่า ยกถูก ยกดี ยกชัย คือ ยกไม่ฟาล์ว

ข้อ 4.ไก่ต้องห้ามตำราเกล็ดแซม
4.1 เกล็ดแซมข้างเดียวไม่ดี เรียกว่าเกล็ดเสนียดตา
4.2 ข้อดี ถ้าเป็นสองข้าง แซมเหมือนกันไม่เสียไม่หาย คุ้มกันได้

ข้อ 5. ไก่ชนปีกขาว ปีกสีดอก ข้างเดียวไม่ดี เรียกว่าปีกขาว-ปีกดอกเสนียดตาเซียน
5.1 ข้อดี ถ้ามีเหมือนกันสองข้าง ไม่เสีย ไม่หายคุ้มกันได้

ข้อ 6. ไก่ชนเดือยดำข้าง ขาวข้างไม่ดี เรียกว่าเป็นเดือยเสนียดตา
6.1 ข้อดีถ้ามีทั้งสองข้างเหมือนกัน ไม่เสียหายคุ้มกันได้

ข้อ 7. เกล็ดดี เกล็ดร้าย เกล็ดไก่มงคล ข้อดีของเกล็ด เกล็ดใดก็ตาม ผุดขึ้นที่ใด แข้งใด ไก่สกุล สองแข้ง สองนิ้วเหมือนกัน

สรุปผลดีผลเสีย ข้อ 4-5-6 ตรงกัน คือเวลาตีเวลาชน ชนไปหลับตาไปชนครั้งหลับตาข้างครั้งไม่ดี คือเป็นไก่ใจไม่สู้ ไม่รักเดิมพัน เล่นพนันมีแต่เสีย ไม่มีได้ หรืออาจถูกคู่ต่อสู้แทงเอาตาบอดข้างหนึ่ง ข้างใดก็ได้ ภาษาไก่ชนเรียกอาการนี้ว่า เกล็ดแซมเสนียดตา ปีกด่างปีกดอกเสนียดตา เดือยดำข้างขาวข้างเสนียดตา